วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลที่ให้มากกว่าการดูแล รักษา

พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถานอาจเป็นชื่อที่หลายคนไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกว่าเป็น
พิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดแสดงร่างของซีอุย เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายของนวลฉวี รวมถึงวัตถุพยานที่สำคัญในคดีต่างๆ  หลายคนก็คงจะเริ่มคุ้นชินกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นมาบ้างใช่ไหมคะ

งั้นเราลองมาดูประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจแห่งนี้กัน


พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน เป็นพิพิธภัณฑ์ภายในโรงพยาบาลศิริราช ที่เริ่มต้นมาจากการเก็บ และจัดแสดงสิ่งของซึ่งเป็นสิ่งเรียนรู้ทางการแพทย์ในแต่ละภาควิชา โดยในปี พ.ศ. 2525 มีพิพิธภัณฑ์ที่เปิดรวมภายโรงพยาบาลถึง 13 แห่ง แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปพิพิธภัณฑ์ถูกลดลงให้เหลือเพียง 6 แห่ง ที่สามารถเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชม





เมื่อคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้รับมอบพื้นที่บางส่วนของสถานีรถไฟธนบุรี จำนวน 33 ไร่ จากการรถไฟแห่งประเทศไทย และเพื่อให้วงการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศมีการพัฒนาทั้งด้านวิชาการการวิจัย การศึกษา และการบริการ จึงมีการเสนอโครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ต่อรัฐบาล และวางแผนการดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วยโครงการย่อย 7 โครงการ ซึ่งพิพิธภัณฑ์เป็นหนึ่งในโครงการย่อยเหล่านั้น พร้อมทั้งได้มีการ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ในส่วนของพิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราชขึ้น เพื่อให้รับผิดชอบดูแลพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ในศิริราช รวมทั้งมีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่รวบรวมเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพิพิธภัณฑ์ ภาควิชาและหน่วยงานต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเก็บเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับโครงการ รวมเป็น “พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช” หรือ “พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” ในปัจจุบัน



พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน ตั้งอยู่ภายในบริเวณโรงพยาบาลศิริราช ถือเป็นแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ในพื้นที่สถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช เพื่อเปิดประสบการณ์ การเรียนรู้ ทั้งด้านประวัติศาสตร์การแพทย์, การก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราช, โรงเรียนแพทย์แห่งแรก, พัฒนาวิทยาการแพทย์ของโรงพยาบาลศิริราช ทั้งแผนปัจจุบันและแผนไทย ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์ฯ ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม ทันสมัย ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ควบคุมทั้งสื่อนำเสนอและระบบการเข้าชม สามารถรองรับการเยี่ยมชมได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งแบบหมู่คณะคราวละหลายร้อยคน หรือผู้สนใจที่มาแบบส่วนตัวก็ได้เช่นกัน

ซึ่งพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถานจะแบ่งออกเป็น 6 พิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปชม
ในที่นี้จะขอแนะนำไปที่ตึกอดุลยเดชวิกรม





 ซึ่งภายในตึกอดุลยเดชวิกรมจะมีพิพิธภัณฑ์ดังนี้ 

1.พิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาเอลลิส จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติพยาธิวิทยาในประเทศไทย ห้องจำลอง 
การปฏิบัติงานทางพยาธิวิทยาที่ตึกเสาวภาคย์ในอดีตของโรงพยาบาลศิริราช แสดงระบบการทำงานของหัวใจปกติและโรคหัวใจ

2.พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ สงกรานต์ นิยมเสน เริ่มก่อตั้งในสมัยของ ศ.นพ.สงกรานต์ นิยมเสน ซึ่งท่านได้เป็นผู้ริเริ่มงานด้านนิติเวชศาสตร์ของศิริราช และดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์ในขณะนั้น จัดแสดงเกี่ยวกับนิติพยาธิ ชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆของมนุษย์ ที่ตายด้วยโรคตามธรรมชาติ และตายโดยผิดธรรมชาติ และยาเสพติดชนิดต่างๆ วัตถุพยานจากคดีต่างๆ เช่น คดีฆาตกรรม ฆ่าตัวตาย อุบัติเหตุ ฯลฯ ที่มีการจัดแสดงกะโหลกศรีษะจำนวนมากที่ได้จากการทดลองยิงเพื่อการศึกษาทิศทางบาดแผลในระยะต่างๆ รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการชันสูตรพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่8 และมีการจัดแสดงศพต่างๆ เช่น ศพ ” ซีอุย ” ศพไม่เน่า เสื้อผ้าในวันเกิดเหตุของคดีนวลฉวี ฯลฯ

3.พิพิธภัณฑ์ ประวัติการแพทย์ไทย อวย เกตุ อดีตหัวหน้าแผนกสรีรวิทยาและเป็นอดีตหัวหน้าภาควิชาเภสัชวิทยาเป็นผู้รวบรวมเรื่องราวการแพทย์ของไทย ได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์เสร็จในปี พ.ศ. 2522 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาทรงเปิดเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2522 สิ่งจัดแสดงที่สำคัญได้แก่ ประวัติและวิวัฒนาการการแพทย์ของไทย ร้านขายยาไทย พร้อมตัวอย่างสมุนไพรชนิดต่างๆ อุปกรณ์ในการปรุงยาไทย การคลอดและการอยู่ไฟ เฉลวหรือไม้ไผ่สานเป็นรูปดาวที่ใช้ปักบนหม้อต้มยา กระบองอาญาสิทธิ์ ที่แพทย์หลวงใช้ถือไปเก็บสมุนไพรได้ทุกที่ การนวดและอุปกรณ์ที่ใช้นวดและการรักษาโรคเบื้องต้นด้วยท่าฤาษีดัดตน การรักษาโรคด้วยไสยศาสตร์ ฯลฯ ขณะนี้สิ่งแสดงดังกล่าวจำนวนหนึ่งได้ย้ายมาจัดแสดงร่วมภายในพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์เป็นการชั่วคราว

4.พิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยา ก่อตั้งโดย ศ.นพ. วิจิตร ไชยพร ในปี พ.ศ. 2513 โดยการเก็บรวบรวมตัวอย่างสิ่งแสดงจากผู้ป่วย จากการตรวจศพ ฯลฯ ไว้ใช้ในการเรียนการสอนนักศึกษาหลักสูตรต่างๆ โดยเฉพาะนักศึกษาแพทย์ แต่ในภายหลังมีการจัดแสดงแบ่งเป็นหมวดหมู่ และได้เปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชมด้วย เพื่อเป็นแหล่งความรู้ที่ต้องการ ให้คนดูตระหนักถึงอันตราย และโทษของการบริโภคแบบผิดๆ


โดยวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งโครงการพิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราชแห่งนี้คือ

(๑) เพื่อรวบรวมสิ่งแสดง วิเคราะห์ จำแนกประเภท ประเมินคุณค่า ทำทะเบียน และเก็บรักษาสิ่งแสดงจาก ทุกหน่วยงานของคณะฯอย่างเป็นระบบ

(๒) เพื่อจัดแสดงประวัติและวิวัฒนาการของการแพทย์ของประเทศไทยและของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

(๓) เพื่อจัดแสดงสิ่งแสดงทางการแพทย์ และพัฒนาให้เป็นแหล่
งเผยแพร่ความรู้ทางด้านการแพทย์และการ

สาธารณสุขแก่ประชาชนทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

(๔) เพื่อเป็นสถานบริการการศึกษานอกระบบสำหรับนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชน

(๕) เพื่อเป็นศูนย์การวิจัยและพัฒนาการจัดทำสิ่งแสดงทางการแพทย์และการสาธารณสุข

(๖) เพื่อดำเนินกิจกรรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการพิพิธภัณฑ์การแพทย์

(๗) เพื่อร่วมมือกับองค์กรอื่นทั้งในและต่างประเทศเพื่อประโยชน์ในด้านการพัฒนาพิพิธภัณฑ์การแพทย์


หลังจากดูข้อมูลมาพอสมควรแล้ว อันดับต่อไปคือ การไปดูทุกอย่างที่กล่าวมานี้ด้วยตัวคุณเอง
เพื่อให้คุณได้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงๆๆๆๆๆๆ ดังนั้น สิ่งที่จะนำเสนอ ต่อไปคือ

วิธีการเดินทาง

                 รถประจำทางสายผ่านหน้าโรงพยาบาลศิริราช ได้แก่ สาย 19, 57, 81, 146, 149, และ 157
                 เรือด่วนเจ้าพระยาระบุลงท่าพรานนก
                 เรือข้ามฟากท่าพระจันทร์-วังหลัง, ท่าช้าง-วังหลัง


                




อ้อ พิพิธภัณฑ์นี้ ไม่ได้เปิดทุกวันนะคะ จะไปวันไหน ต้องดูก่อนนะ

          เวลาเปิด-ปิด : เปิดวันจันทร์, พุธ– อาทิตย์ (หยุดวันอังคารและวันนักขัตฤกษ์) เวลา 10.00–17.00 น.

ถ้าพร้อมที่จะไปเรียนรู้ เรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจในพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถานแห่งนี้แล้ว
ก็ออกเดินทางได้เลยยยยยยยยยยยยยยยยยย









ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก

http://www.si.mahidol.ac.th/museums/th/webboard/webboarddetail.asp?q_id=4 

http://www.m-culture.in.th/album/167016/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

ใครๆก็โกง จริงหรือที่เราต้องเพิกเฉย!!!!!

          เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าปัญหาเรื่องการคอรัปชั่นเป็นปัญหาสําคัญลําดับต้นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นมาช้านาน จนฝังรากลึกและพบเกือบทุกกลุ่มอาชีพในสังคมไทย เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตของคนในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน หรือกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยไปแล้ว เมื่อปัญหาดังกล่าวผูกพันอยู่กับสังคมไทย จึงส่งผลให้คนไทยบางส่วนมองว่าการทุจริตคอรัปชั่น เป็นเรื่องปกติและยอมรับได้ โดยมักจะใช้แนวคิดว่าผู้มีอํานาจก็มักจะโกงกันทุกฝ่าย ดังนั้นหากใครโกงแล้วทํางานเก่งก็ถือว่าพอรับได้จึงทําให้คนยินยอมที่จะเสียเงินเพื่อซื้อความสะดวก สิทธิพิเศษ หรือตัดความรําคาญ แม้กระทั่งเกิดความคิดสีเทาประเภทกินตามน้ำ เข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม ตัวเล็กกินไก่ ตัวใหญ่กินช้าง หรือคนโกงแต่เก่ง ดีกว่าคนซื่อที่ทํางานไม่เป็น 














>>>เป็นค่านิยมอันตราย ที่มองว่าใครๆก็โกง







          ซึ่งการกระทําและความคิดเหล่านี้ ทําให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมคอรัปชั่นเกือบจะสมบูรณ์ และจากผลการวิจัยพบว่า ในแต่ละปีพ่อค้าและนักธุรกิจกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ต้องสูญเสียเงินให้กับการคอรัปชั่นเป็นจํานวนสูงถึงเกือบ 3 แสนล้านบาท ซึ่งเงินจํานวนนี้ หากไม่ไปตกอยู่ในกระเป๋าของคนเพียงไม่กี่คนย่อมสามารถอํานวยประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้ ทําให้รัฐต้องจ่ายเงินงบประมาณสูงกว่าที่เป็นจริง ทําให้ประชาชนต้องได้รับบริการสาธารณะที่ไม่มีคุณภาพ อีกทั้งยังทําให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในระบบราชการไทยที่มักจะมีการใช้อํานาจโดยมิชอบ และมักมีการเรียกผลประโยชน์จากนักลงทุน เพื่อแลกกับการอนุญาตให้เอกชนดําเนินการในกิจการที่รัฐจะต้องทํา ซึ่งรัฐเองก็ไม่สามารถตรวจสอบการกระทําดังกล่าวได้



          จากปัญหาที่เกิดขึ้น คนในสังคมเริ่มมีความตื่นตัวในเรื่องการคอร์รัปชั่นมากขึ้น มีหน่วยงานที่พยายามออกมาต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นมากขึ้น ซึ่งออกมาในรูบแบบต่างๆมากมายเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกของคน







          มีทั้งที่เป็นรูปการ์ตูนน่ารักๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของคน และเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น




และเพื่อให้คนในสังคม ตื่นตัวมากขึ้นอย่างที่คาดหวังก็มีองค์กรที่ทำสื่อ เกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริต ที่มีเนื้อหา เข้าใจง่าย สนุก และเข้าถึงความรู้สึก

                                     

          คนไทยทุกคน ต้องตระหนักถึงความจำเป็นในการร่วมมือกัน ทำลายวงจรอุบาทว์ของการใช้อำนาจหน้าที่ทุจริตคอรัปชั่น 
         ที่สำคัญ เราต้องสร้างมาตรการลงโทษทางสังคมเพื่อหยุดความชั่วร้าย เพราะหากไม่ขจัด   การทุจริตโดยผู้มีอำนาจรัฐ ประเทศก็ยากจะเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาชาติ

"ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนต้องร่วมกันต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นเพื่อปกป้องประโยชน์ของประเทศ"


                                       ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=872214

                                                                       http://www.youtube.com/watch?v=jUF2iVBP1e4



วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ของใกล้ตัว ที่เราอาจมองข้ามไป

บลูทูธ(Bluetooth) คำๆนี้ใครหลายคนคงได้ยินมาตั้งแต่เริ่มใช้โทรศัพท์มือถือ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ใช้สะดวกสบาย ใช้งานง่าย ครอบคลุมการใช้งานหลายด้าน ที่สำคัญ เทคโนโลยีนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่ต้องเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตอีกด้วย


ความเป็นมาของเจ้า "ฟันสีฟ้า" (Bluetooth)

          คำว่า Bluetooth หรือ ฟันสีฟ้า ความจริงแล้วเป็นนามของกษัตริย์ประเทศเดนมาร์ก ที่มีชื่อว่า "Harald Bluetooth" (ภาษาเดนมาร์ก Harald BlÅtand) ในช่วงปี ค.ศ. 940-981 หรือประมาณ 1,000 กว่าปีก่อนหน้า กษัตริย์องค์นี้ได้ปกครองประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์ในยุคของ ไวกิ้งค์ และต้องการรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว นอกจากนั้น ยังทรงเป็นผู้นำเอาศาสนาคริสต์เข้าสู่ประเทศเดนมาร์กอีกด้วย

                                                      
กษัตริย์ Harald Bluetooth ปี ค.ศ. 940-981



และเพื่อเป็นการรำลึกถึงกษัตริย์ Bluetooth ผู้ปกครองประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย ซึ่งในปัจจุบันเป็น กลุ่มผู้นำในด้านการผลิตโทรศัพท์มือถือป้อนสู่ตลาดโลก และระบบ Bluetooth นี้ ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับโทรศัพท์มือถือ และเริ่มต้นจากประเทศในแถบนี้ด้วยเช่นกัน


 กำเนิด Bluetooth?    

          ปี 1994 บริษัท อีริคสัน โมบาย คอมมูนิเคชั่น เริ่มต้นที่จะค้นคว้าวิจัยความเป็นไปได้ในการนำคลื่นสัญญาณวิทยุ มาใช้ระหว่างโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ต่างๆ และเป็นผู้นำชื่อ Bluetooth มาใช้


          ปี 1998 กลุ่มผู้พัฒนาวิจัยระบบ Bluetooth ได้ถูกก่อตั้งขึ้น โดยเกิดจากการรวมตัวของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Ericsson, Nokia, IBM, Toshiba และ Intel ในกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า Special Interest Group (SIG) ซึ่งในกลุ่มจะประกอบด้วย กลุ่มผู้นำทางด้านโทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ได้ประเมินว่า ภายในปี 2002 ในอุปกรณ์การสื่อสาร, เครื่องใช้, คอมพิวเตอร์ จะถูกติดตั้ง Bluetooth ที่จะใช้เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ อย่างแพร่หลาย







โดยในปีเดียวกัน บริษัทเหล่านี้ ได้ประกาศ การรวมตัวกัน และเชิญชวนบริษัทอื่นๆ ให้เข้าร่วม ในลักษณะของการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ โดยในปี 1999 ได้ทำการเผยแพร่ Bluetooth specification Version 1.0 และได้สมาชิกเพิ่มขึ้น ดังนี้ Microsoft, Lucent, 3Com, Motorola

 Bluetooth คืออะไร?

          BLUETOOTH คือ ระบบสื่อสารของอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคแบบสองทาง ด้วยคลื่นวิทยุระยะสั้น (Short-Range Radio Links) โดยปราศจากการใช้สายเคเบิ้ล หรือ สายสัญญาณเชื่อมต่อ และไม่จำเป็นจะต้องใช้การเดินทางแบบเส้นตรงเหมือนกับอินฟราเรด ซึ่งถือว่าเพิ่มความสะดวกมากกว่าการเชื่อมต่อแบบอินฟราเรด ที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างโทรศัพท์มือถือ กับอุปกรณ์ ในโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นก่อนๆ และในการวิจัย ไม่ได้มุ่งเฉพาะการส่งข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ยังศึกษาถึงการส่งข้อมูลที่เป็นเสียง เพื่อใช้สำหรับ Headset บนโทรศัพท์มือถือด้วย




          โดยปกติการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆเข้าด้วยกันเพื่อใช้งานหรือส่งข้อมูลนั้น จำเป็นที่จะต้องใช้สายเคเบิ้ลเป็นตัวเชื่อมต่อ(Serial และ USB) ซึ่งสร้างความไม่สะดวกให้กับผู้ใช้งานในหลายด้าน     ทั้งการพกพา การเคลื่อนย้าย และการใช้สอย
          แต่เมื่อมีการ Bluetooth มาใช้ก็ช่วยให้การโอนถ่ายข้อมูลระหว่างโทรศัพท์กับโทรศัพท์ โทรศัพท์กับคอมพิวเตอร์พกพา(laptop) หรือระหว่างคอมพิวเตอร์พกพา(laptop)ด้วยกันเอง ก็สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยสามารถส่งข้อมูลได้หลากหลายทั้งรูปภาพ เสียง รวมถึงไฟล์ข้อมูลแบบต่างๆ
          นอกจากนี้ Bluetooth สามารถช่วยให้การใช้โทรศัพท์และการใช้คอมพิวเตอร์พกพา(laptop)สะดวกสบายมากขึ้น คือการนำ Bluetooth มาใช้กับอุปกรณ์ช่วยต่างๆ ทั้งชุดหูฟัง พริ๊นเตอร์ คีย์บอร์ด เม้าท์ หรือแม้แต่ลำโพง ที่ไม่จำเป็นต้องต่อสายเข้ากับตัวเครื่องก็สามารถใช้งานได้ จากประโยชน์ต่างๆ จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยี Bluetooth สามารถนำมาใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี และยังเพิ่มความสะดวกในการใช้งานกับอุปกรณ์ต่างๆ



          และนอกเหนือจากที่กล่าวไป Bluetooth ยังถูกพัฒนามาใช้งานกับอุปกรณ์อื่นๆ อีกด้วย ทั้งเครื่องเล่นซีดี รีโมทวิทยุ แม้กระทั่งในรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยี Bluetooth ไปใช้กันแล้ว ทั้งชุด Handsfree, หรือ รีโมทเปิด-ปิดประตู หรือระบบ Keyless ซึ่งเราไม่ต้องกดปุ่มที่กุญแจอีกต่อไป เพียงแค่อยู่ในระยะการทำงาน ประตูก็จะเปิดล็อคให้ทันที ส่วนเวลาลงรถก็สามารถเดินตัวปลิวออกจากรถได้เลย เมื่อการเชื่อมต่อระหว่างตัวรถกับกุญแจขาดจากกัน ก็จะล็อคให้เองอัตโนมัติ (รถบางรุ่นเริ่มมีใช้กันแล้ว Mercedes-Benz SLR) และเชื่อว่าในอนาคต บลูทูธยังต้องมีการพัฒนาต่อไปอีกเรื่อยๆ เพื่อช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
                              ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.siamphone.com/news/bluetooth/page.htm
                                                           http://phatsaneep.blogspot.com/2006/08/bluetooth_24.html

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จากเรื่องเล็ก กลายเป็นเรื่องใหญ่


การใช้คอมพิวเตอร์ไปเปลี่ยนแปลง แก้ไข ข้อมูลต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น 
ทั้งด้านทรัพย์สิน และด้านชื่อเสียงนั้น นับเป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งจริยธรรม 
บางครั้งอาจเกิดขึ้นจากความโกรษเพียงชั่ววูบ แต่ส่งผลในด้านลบทั้งตัวบุคคลที่แก้ไขข้อมูล
และบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในระยะยาว

ดังเช่นในข่าวที่ค่อนข้างเป็นกระแส วิพากษ์วิจารณ์ในหลายฝ่ายด้วยกันค่ะ




พล.ต.ต.ปิยะ รับแล้ว!! ข้อความด่าม็อบเจ้าหน้าตำรวจเป็นคนตัดต่อพร้อมลบแล้ว อ้างทำเพราะตำรวจถูกรังแก?? พร้อมขอโทษ"เดลินิวส์" ที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย
เมื่อวันอาทิตย์ ( 17 พ.ย. ) หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ กรอบบ่าย ฉบับวันที่ 18 พ.ย. เสนอข่าวชี้แจงกรณีโลกโซเชียลมีเดียได้มีผู้ใช้ภาพประกอบข่าวของเว็บไซต์เดลินิวส์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ขณะกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) วิ่งทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณแยกนางเลิ้งไปดัดแปลงเติมข้อความว่า "เดลินิวส์ยืนยัน ม็อบระยำ ทำร้ายตำรวจ" โดยกองบรรณาธิการเว็บไซต์เดลินิวส์ ระบุว่า ภาพดังกล่าวเป็นของเว็บไซต์เดลินิวส์จริง แต่ข้อความดังกล่าวได้ถูกแต่งเติมขึ้นจนทำให้หลายฝ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายละเอียดภาพเว็บไซต์เดลินิวส์ดังกล่าวที่ถูกดัดแปลงแต่งเติมขึ้น ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมอย่างมาก เมื่อทวิตเตอร์ทีมโฆษก ตร. หรือ @PoliceSpokesmen นำทีมโดย พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ได้แคปเจอร์ภาพหน้าเว็บเพจของเว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์ ซึ่งนำเสนอข่าวเหตุการณ์กระทบกระทั่งระหว่างผู้ชุมนุมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กับเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) เมื่อช่วงสายวันนี้ โดยระบุข้อความว่า เดลินิวส์ ยืนยัน ม็อบระยำ ทำร้ายตำรวจ!!!!

อย่างไรก็ตาม หลังจากข้อความดังกล่าวปรากฏขึ้น ได้ถูกผู้ใช้ทวิตเตอร์ตำหนิถึงความมีวุฒิภาวะของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่มีอคติกับผู้ชุมนุม ภายหลังเมื่อเวลา 19.22 น. ทวิตเตอร์ดังกล่าวได้ลบข้อความออกไปแล้ว
ล่าสุดวันนี้ ( 18 พ.ย. ) พล.ต.ต.ปิยะแถลงข่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมว่า ในระหว่างวันที่ 9-16 พ.ย. ได้มีตำรวจบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ และบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายจำนวน 4 นาย ซึ่งอยู่ระหว่างการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ และมีรถควบคุมฝูงชนจาก บก.ภ.จว.ระยอง ถูกการ์ด คปท.ประมาณ 40 คน ใช้ของแข็งทุบได้รับความเสียหาย 1 คัน เหตุเกิดที่หน้ากองการช่าง กรมทางหลวง
"ในฐานะโฆษก ศอ.รส. ต้องขอโทษทางเดลินิวส์ ที่มีข้อมูลข่าวโพสต์ทางโซเชียลมีเดียก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่เดลินิวส์ เพราะเหตุที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้สึกว่าตำรวจจะถูกรังแกอยู่เรื่อยๆ ก็เลยไปเพิ่มข้อความบางส่วนที่ไม่สุภาพ และส่งผลกระทบทำให้เดลินิวส์เสียหาย ซึ่งเดลินิวส์นั้นมิได้เป็นคนพิมพ์ข้อความนั้นเข้าไป และทางเราได้ทำการตรวจสอบ จึงได้รีบเอาข้อความดังกล่าวออกไปแล้ว" โฆษก สตช.กล่าว




จากข่าวนะค่ะ จะเห็นได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น เกิดเพียงเพราะความโกรษ
ที่เชื่อว่าตนเป็นฝ่ายถูกรังแก อยากให้สังคมรับรู้ในมุมมองของตนเอง 
จึงทำการเพิ่มเติมข้อมูลบางอย่างลงไปในภาพ และนำไปเผยแพร่
ซึ่งผลที่ตามมาคือ ความเสียหายในด้านชื่อเสียง

โดยภาพข่าวของจริง ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนแปลงมีดังนี้ค่ะ


ม็อบราชดำเนินเดือด ไล่ตีตำรวจ

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.กลุ่มผู้ชุมนุมเครือข่ายนักศึกษา ประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท. )เคลื่อนขบวนออกจากพื้นที่ชุมนุมบริเวณ หน้ากองทัพบก เพื่อรณรงค์ ติดธงชาติที่ด่านตำรวจ ในพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อรณรงค์ให้ทุกฝ่ายมีสำนึกรักชาติ โดยเริ่มผูกธงชาติที่ด่านมัฆวาน เป็นด่านแรก แต่เมื่อขบวนเคลื่อนมาถึง บริเวณแยกสนามม้านางเลิ้ง  ปรากฏว่ามีตำรวจ ปิดกั้นเส้นทาง ทำให้นายนิติธร ล้ำเหลือที่ปรึกษา ต้องเจรจา และใช้เวลาประมาณ 5 นาที จึงเคลื่อนขบวน ผ่านมาได้ แต่เกิดมีการกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มมวลชนกับตำรวจโดยกลุ่มผู้ชุมนุมใช้ด้ามธงวิ่งไล่ตีตำรวจ      

แต่แกนนำได้เข้าห้ามปรามไว้ได้ทัน เหตุการณ์เลยไม่บานปลาย
ต่อมาขบวนเคลื่อนมาถึง ที่บริเวณด่านทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้รถขยายเสียง พูดว่า
ขออย่าทำร้ายตำรวจต่อเนื่องตลอดเวลา ทำให้แกนนำต้องเปิดเพลงประจำของกลุ่มคปท.กลบเสียงเครือขยายเสียง แต่เหตุการณ์ทั้งหมดก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย.


จากข่าวตัวอย่างที่นำมานะค่ะ อาจจะไม่ผิดถึงขั้น ขึ้นโรง ขึ้นศาล
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การทำลายชื่อเสียง และ ก่อให้เจอการทะเลาะ การพูดจาเสียดสีของคนหลายฝ่าย
ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใหญ่โตในอนาคตได้ค่ะ

สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นำไปลองคิดทบทวนคือ
การนำความรู้ ความสามารถ ของตนเอง ไปทำลายผู้อื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ตามจากการกระทำ แม้ว่าจะไม่ถูกกฎหมายลงโทษ
แต่เชื่อเถอะ สักวันหนึ่ง ผลของการกระทำจะต้องย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองจนได้
ดังเช่นในข่าวที่ได้นำมา

>>>จำนวนคนที่ใช้คอมพิวเตอร์มีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะมีสักกี่คนที่จะใช้มันในทางสร้างสรรค์
ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนนั้นคงเป็นคุณนะค่ะ ^^

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ฉันคือใคร.... ใครคือฉัน....

ชื่อ นางสาวศศิธร ประเสริฐสุขสันต์
ชื่อเล่น หนูแดงค่ะ
เป็นนิสิตปี 3 ของมหาวิทยาลัย ศรีนคริทรวิโรฒ 
คณะศึกษาศาสตร์ เอกจิตวิทยาการแนะแนว

ปกติชีวิตส่วนตัวก็จะเป็นคนสนุกสนาน อารมณ์ดี ก็จะมีบางช่วงเวลาที่อยากจะอยู่เงียบๆ
ไม่ต้องพูดอะไร ไม่ต้องอธิบายอะไร ซึ่งบางครั้งก็อาจทำให้คนรอบข้างตกใจ เป็นห่วง 
เนื่องจากส่วนมากของชีวิตก็จะพูดๆๆๆ พูดไม่หยุด ประมาณว่าพูดเก่ง พูดมาก พูดเยอะ  55555 


ก็จะขอเล่าถึงช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยหน่อยนะค่ะ เนื่องจากเป็นช่วงชีวิตที่มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่นาทีแรกที่ต้องห่างจากครอบครัว>>>ช่วงปี 1 ไปอยู่ที่หอพัก พอเห็นรถพ่อขับออกไป ตอนนั้นรู้จักคำว่าใจหายในทันที แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อชีวิตยังต้องก้าวต่อไป เมื่อเราต้องสูญเสียบางอย่างไปแล้ว สิ่งที่ทำได้คือ พยายามทำทุกอย่างให้ดี ให้คุ้ม สมกับสิ่งที่เราต้องสูญเสียไป แต่พอเวลาผ่านไป เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่เราอยู่ สิ่งที่เราเป็น และสิ่งที่เราทำ 
รวมทั้งใช้ชีวิตของเด็กปี 1 ให้คุ้มค่า

             


 ช่วงปี 2 - ปัจจุบัน ก็กลับมาเรียนที่ประสานมิตร กลับมาอยู่ที่บ้าน แม้ว่าจะต้องเดินทางไป-กลับ ระหว่างบ้านกับมหาวิทยาลัย ด้วยรถประจำทางทั้งหมด 6 สาย ถึงจะเหนื่อย แต่ก็เป็นอะไรที่มีความสุขค่ะ